่่่ ทักษะการรุกและการป้องกัน
การรุกเป็นการเล่นเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้ เพื่อหาโอกาสและช่องว่างให้ผู้เล่นสามารถยิงประตูเพื่อทำคะแนน ซึ่งการรุก มีหลายรูปแบบผู้เล่นต้องรู้จักปรับเปลี่ยนรูปแบบการรุกให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น
หลักการและวิธีการรุกแบบแบ่งเขต ฝ่ายรุกจะต้องรู้หลักเกี่ยวกับการรุกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้าม ตั้งรับทัน การวางตำแหน่งผู้เล่นในการโจมตีจะต้องมีความพร้อมเหมาะกับแผนการรู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ รู้วิธีการ กำบังให้เขตป้องกันของคู่ต่อสู้เกิดจุดอ่อนแบบคนต่อคน ทีมที่จะโจมตีแบบคนต่อคนได้ดีนั้น จะต้องผ่านการฝึกหัด ตามแบบวิธีเล่นมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการรับ การส่ง การเลี้ยงลูก [1] การกำบัง และการยิงประตู วิธีการโจมตี แบบคนต่อคนนั้นมีหลายวิธีแต่แต่วิธีที่ได้ผลนั้นควรเข้าโจมตีทางด้านข้างของหัวกะโหลกและผู้เล่นเซ็นเตอร์ เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่จะต้องส่งลูกให้ ไม่ควรที่จะเล่นตรงกึ่งกลางหัวกะโหลกและผู้เล่นเซ็นเตอร์ เป็นตำแหน่ง ที่สำคัญที่จะต้องส่งลูกให้ไม่ควรที่จะเล่นตรงกึ่งกลางหัวกะโหลก เพราะจะทำให้ป้องกันได้ง่าย
การเล่นแบบรุกเร็ว เป็นวิธีการเล่นที่ฝ่ายหนึ่งฉวยโอกาสขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเล่นผิดพลาดในกรณีต่างๆ แล้วใช้ วิธีการรุกอยย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ฝ่ายที่เล่นผิดพลาดตั้งรับทันการเล่นแบบนี้เล่นได้ทุกขณะที่มีโอกาส เช่น กรณีที่ฝ่ายรุกยิงประตูไม่ได้ผล ทำประตูไม่ได้ ทำผิดกติกา
การรุกที่ได้ผลจำเป็นจะต้องใช้จุดอ่อนของฝ่ายรับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การกระทำที่ได้ผลขึ้นอยู่กับการ หลอกล่อแล้วเล่น จะยิงประตู จะส่ง จะเลี้ยง หรือจะเคลื่อนที่ทุกกรณี จะต้องใช้ไหวพริบหลอกล่อให้ฝ่ายรับ หรือ คู่แข่งขันเสียทางก่อนแล้วจึงรีบเข้าเล่นโดยฉับไว เช่น ทนที่จะส่งแต่กลับเลี้ยงเข้าไปยิงประตูเสียเองเพื่อเปิดโอกาส ให้คนที่ยืนอยู่ใกล้เข้าเล่นลูกใต้ห่วงประตู อันเป็นการกระทำที่ให้รอดพ้นจากการป้องกันแบบตัวต่อตัวไปได้
มีตัวอย่างยุทธวิธีการรุกที่นิยมใช้กัน เช่น
1. การประสานงานใต้แป้น ใช้ในการรุกเร็วใต้แป้นประสานงานการับ - ส่ง อย่างสัมพันธ์กัน ผู้ครอบครอง ลูกบอลหรือกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่แล้วส่งให้ฝ่ายเดียวกัน โดยอาศัยการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ผสมการ หลอกล่อให้ฝ่ายป้องกันเสียหลัก วิ่งเจาะเข้าใต้แป้นเพื่อทำประตู
2. การกำบัง เป็นการรุกโดยเลือกโอกาสและตำแหน่งที่เหมาะสมใช้เทคนิคและร่างกายขวางทิศทางการ เคลื่อนที่ของฝ่ายรับ คอยเคลื่อนที่หาจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามพลาดท่า ส่งบอล[2]ให้กันในแบบ Give and Go คือ ส่งบอลให้เพื่อนแล้ววิ่งไปรับต่อในเขตใกล้ห่วงเพื่อยิงประตูหรือเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมเจาะเข้ายิงประตู
การเล่นกีฬาบาสเกตบอลก็เหมือนกับกีฬาประเภททีมอื่นๆ ทั่วไปที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของผู้เล่นในทีม เพื่อให้การเล่นดำเนินไปได้อย่างดี กีฬาบาสเกตบอลมีจุดมุ่งหมายการเล่นเพื่อนำลูกบอลไปโยนหรือยิงประตู ให้ลูกบอลลงห่วงประตูของฝ่ายตรงกันข้าม ในทันทีที่ลูกบอลตกไปอยู่ในมือของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็จะมีสถานะเป็นฝ่ายรุกและเริ่มใช้กลยุทธ์ในการนำลูก เข้ายิงประตูเพื่อทำคะแนนเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง โดยผสมด้วยทักษะของการรับ การส่ง การเลี้ยง การหลอกล่อ การหลบหลีก การยิงประตู และการกระโดดแย่งลูกบอล ในขณะเดียวกันนี้เองฝ่ายป้องกันซึ่งไม่มีลูกบอลอยู่ในมือ ก็พยายามใช้ความสามารถป้องกันด้วยกลวิธีต่างๆ รวมทั้งเข้าแย่งลูกบอลมาเป็นของตนบ้างเช่นกัน
สมัยก่อนการเล่นบาสเกตบอลมักนิยมแบ่งตำแหน่งหน้าที่ออกเป็น 5 ตำแหน่ง คือ ศูนย์กลาง 1 คน การ์ด 2 คน (ซ้ายและขวา) และหน้า 2 คน (ซ้ายและขวา) แต่ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับก็ตาม ผู้เล่นแต่ละคนต้องสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้นเมื่อเป็นฝ่ายรุก ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น “หน้าทั้งหมด” แต่ถ้าตกเป็นฝ่ายรับ ทั้ง 5 คน ก็จะเป็น“การ์ด” ทั้งหมดทีมใดที่มีโอกาสครอบครองลูกบอลและยิงประตูมากที่สุดมักจะเป็นทีมที่ประสบ ชัยชนะในการแข่งขัน
ผู้เล่น 5 คน เมื่อรุกจะแบ่งตำแหน่งดังนี้
1. การ์ด (Guard) มี 2 คน คือ การ์ดที่จ่าย (ส่ง) ลูกบอลให้ผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบเพื่อทำคะแนน เรียกชื่อว่า การ์ดนอก (Point Guard) เพราะเขาจะอยู่นอกพื้นที่กำหนดเวลา นอกเส้นโค้งของวงกลมการโยนโทษ ผู้เล่นคนนี้มีความเร็วและมีทักษะการครอบครองลูกบอลสูงมาก การ์ดอีกคนหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งใกล้เขตกำหนดเวลาและอยู่ด้านซ้ายหรือขวามือก็ได้ โดยมีหน้าที่คือ เป็นการ์ดที่ยิงประตู (Shooting Guard) หรือการ์ดในเพราะอยู่ ใกล้ห่วงประตูและมีความสามารถในการยิงประตู จึงอาจจะยิงประตูหรือส่งลูกบอลต่อให้ปีก หรือเซ็นเตอร์ก็ได้
2. ปีก (Forward) มีผู้เล่นตำแหน่งนี้ 2 คน ซึ่งปกติจะมีลักษณะและขนาดรูปร่างสูงใหญ่ พร้อมความสามารถในการยิงประตูและการรีบาวด์ หรือส่งลูกบอลได้ดี
ปกติจะยืนในตำแหน่งโพสท์ (Post) คู่หรือตรงกันข้ามกับเซ็นเตอร์หนึ่งคนส่วนอีกคนหนึ่งจะยืนใกล้การ์ดใน หรืออยู่ตรงกันข้ามกับการ์ดในและเซ็นเตอร์ หน้าที่หลัก คือ การยิงประตูและการรีบาวด์คู่กับเซ็นเตอร์ บางกรณีอาจจะทำการกำบังให้การ์ดในหรือเซ็นเตอร์ก็ได้
3. เซ็นเตอร์ (Center)[3]ตำแหน่งนี้จะเป็นผู้เล่นที่สูง และรูปร่างใหญ่มีน้ำหนักตัวมากลักษณะพิเศษคือยิงประตู ระยะใกล้ได้ดี กระโดดเพื่อรีบาวด์ได้ดีและทำงานร่วมกับปีกและการ์ดในได้ดีปกติจะยืนใกล้ห่วงประตู(Low Post) ทางด้านใดด้านหนึ่งโดยมีปีกยืนคู่หรือตรงกันข้ามหรือปีกยืนในตำแหน่งห่างออกไปแต่ใกล้เขตกำหนดเวลา (High/Medium Post)เพื่อช่วยเซ็นเตอร์ในการรุก ฉะนั้นเซ็นเตอร์จึงต้องทำหน้าที่ในการยิงประตูระยะใกล้และรีบาวด์ หรือรุกร่วมกับปีก
หลักการเป็นผู้เล่นฝ่ายรุกไว้ดังนี้
1. ผู้เล่นทุกคนควรรู้กติกาการเล่นบาสเกตบอลเป็นอย่างดี
2. พยายามหาที่ว่างให้ตนเองหลุดพ้นจากการติดตาม หรือการควบคุมของฝ่ายตรงข้าม
3. รู้จักฉวยโอกาสการเล่นทุกคนเมื่อเริ่มเล่นเกมเร็ว ต้องรู้หน้าที่ของตนเองว่าจะเล่นอย่างไร
4. รู้จักรอโอกาสการเล่น คือ สามารถเล่นเกมให้ช้าลงได้เพื่อรอจังหวะในการเล่นเกมต่อไป
5. ผู้เล่นทุกคนต้องระลึกเสมอว่า ทุกคนในทีมมีความสามารถทัดเทียมกัน ที่จะให้เพื่อนร่วมทีมเล่นลูกบอล เพื่อเปิดโอกาส และขณะเดียวกันต้องใช้โอกาสให้เหมาะสมกับความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคนเช่นควร ส่งลูกบอลให้คนที่มีโอกาสทำประตูมากที่สุด
6. ขณะที่จะทำการยิงประตูทุกครั้งต้องมีความมั่นใจในการทำประตูว่า การยิงประตูทุกครั้งลูกต้องลงห่วง ประตู และพร้อมที่จะติดตามลูกบอล (Rebound) เมื่อลูกบอลไม่ลงห่วง
7. ศึกษาจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันเพื่อหาโอกาสเข้าทำประตู และเปลี่ยนเกมการเล่นเมื่อฝ่ายตรงข้ามจับ ทิศทางการเล่นได้
8. ทุกคนต้องพร้อมที่จะเล่นลูกบอลตลอดเวลา
9. มีความมั่นใจในการลงเล่นหรือลงแข่งขันทุกครั้ง
10. ควรได้รับการฝึกหัดการรุกแบบต่างๆ อย่างดีและสม่ำเสมอ